การเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ของการออกแบบระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูปกับระบบก่อสร้างปกติ
การก่อสร้างระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูปเป็นเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในบ้านเรานานพอสมควร และมีหลากหลายระบบแต่ก็ยังไม่แพร่หลายมากนัก พอจำแนกเป็นข้อดีข้อเสียได้ ดังนี้
ข้อดีของการออกแบบระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป
- ลดปัญหาด้านการขาดแคลนแรงงาน ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการก่อสร้างระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป เนื่องจากทำการผลิตชิ้นส่วนจากโรงงานและนำมาติดตั้งบริเวณสถานที่ก่อสร้าง และการก่อสร้างด้วยระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูปสามารถลดงานก่อและฉาบได้ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการขาดแรงงานในส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี
- ลดระยะเวลาในการก่อสร้างได้เมื่อเทียบกับระบบการก่อสร้างปกติ สามารถก่อสร้างได้อย่างสะดวกเรียบร้อยมากขึ้น เนื่องจากต้องมีการเตรียมการวางแผนตั้งแต่การออกแบบโครงสร้าง และมีการความคุมการผลิตชิ้นส่วนการก่อสร้างจากโรงงานผลิตชิ้นส่วน
- ลดมลภาวะเรื่องฝุ่น และเสียงในขณะการก่อสร้าง ในบริเวณสถานที่ก่อสร้างได้เป็นอย่างดี
- ลดต้นทุนในการก่อสร้าง เมื่อมีการก่อสร้างรูปแบบอาคารที่ซ้ำกันเป็นจำนวนมาก และจากการออกแบบที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนสามารถลดการใช้วัสดุอย่างชิ้นเปลืองและมีการสูญเสียน้อย
- โครงสร้างของอาคารระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูปมีความแข็งแรงมากกว่าเมื่อเทียบกับระบบก่อสร้างปกติ เนื่องจากมีองค์ประกอบของโครงสร้างอาคารสามารถรับแรงได้
ข้อเสียของการออกแบบระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป
- ต้องมีการเตรียมงานที่รอบคอบ และครอบคลุมทุกขึ้นตอนของการก่อสร้างซึ่งจะทำให้ปริมาณงานในส่วนของการเตรียมงานและจัดทำ Shop Drawing มากขึ้น เมื่อเทียบกับการก่อสร้างระบบปกติ เนื่องจากต้องคำนึงถึง การผลิต การขนส่ง และการติดตั้ง เป็นอย่างมาก
- การออกแบบในด้านความสวยงามของโครงสร้างอาคารจะทำได้ยากขึ้น เนื่องจากผลิตระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูปจำเป็นต้องมีการออกแบบชิ้นส่วนที่มีรูปแบบที่ง่ายต่อการผลิต กาขนส่ง และการติดตั้ง จึงทำให้เป็นข้อจำกัดในการออกแบบของการก่อสร้างระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป
- ข้อจำกัดของขนาดชิ้นส่วนสำเร็จรูป จะขึ้นอยู่กับการขนส่งและอุปกรณ์การยกติดตั้ง เช่น ขนาดของรถขนส่ง การรับน้ำหนักของถนน และขนาดของรถเครน หากมีการออกแบบชิ้นส่วนสำเร็จรูปที่มีขนาดใหญ่จะต้องรถขนส่งที่ออกแบบเฉพาะ และมีอุปกรณ์ยกติดตั้งที่มีขนาดพิเศษ และจะทำให้การติดตั้งยากลำบากมายิ่งขึ้น
- การออกแบบชิ้นส่วนสำเร็จต้องคำนึงถึงรูปแบบของชิ้นส่วนที่มีจำนวนมากและขนาดเดียวกัน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการผลิตสูงสุด และลดต้นทุนวัสดุในการทำแบบหล่อ
- ความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูปจะขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของจุดต่อที่เชื่อมชิ้นส่วนสำเร็จรูปแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน ซึ่งมีความซับซ้อนในการผลิตและการติดตั้งที่ทำได้ยาก
- การก่อสร้างด้วยระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป ด้วยทั่วไปแล้วแผ่นพื้นและผนังจะมีรอยต่อซึ่งต้องเสี่ยงต่อการรั่วซึมของรอยต่อที่สัมผัสน้ำ
- มีการลงทุนในระยะแรก เนื่องจากการสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูป
- ผู้มีความรู้และความชำนาญในการก่อสร้างระบบชิ้นส่วนสำเร็จที่น้อย เนื่องจากเป็นระบบการก่อสร้างรูปแบบใหม่ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศไทยได้ไม่นานมากนัก จึงทำให้ไม่เป็นที่นิยมและใช้ในการก่อสร้างที่แพร่หลายมากนัก
ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ของการออกแบบระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป
ด้านการออกแบบ
- ในระบบการก่อสร้างชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปชนิดผนังรับน้ำหนัก ไม่สามารถทุบผนังและต่อเติมได้ จึงไม่เหมาะสมกับความนิยมของคนไทยที่มักเปลี่ยนแปลงแบบบ้านของตนเอง หรือเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย ฉะนั้นสถาปนิกและวิศวกรควรจะออกแบบบริเวณอาคารส่วนที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เผื่อไว้ด้วย
- การออกแบบระบบชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป สถาปนิกและวิศวกรต้องทำงานประสานกันอย่างใกล้ชิด เพราะความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างต้องสัมพันธ์กับความสวยงาม และประโยชน์ใช้สอย
- รายละเอียดการออกแบบระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูปมีรายละเอียดมากกว่างานออกแบบระบบก่อสร้างปกติเป็นอย่างมาก ซึ่งต้องยอมเสียเวลาในการให้รายละเอียดของแต่ละชิ้นส่วน และการเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเป็น เนื่องจากเป็นส่วนที่สำคัญมากของการก่อสร้างระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป
- มีความยุ่งยากในการนำแบบก่อสร้างระบบก่อสร้างปกติที่มีอยู่แล้ว มาทำการดัดแปลงเป็นระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป จะทำได้ยาก และยุ่งยาก เนื่องจากต้องคำนึงถึงทุก ๆ องค์ประกอบตั้งแต่ต้น
- ปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดขนาดของพิกัดในการก่อสร้างระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป ที่มีความสอดคล้องนำไปสู่ระบบประสานพิกัดแบบเปิด (Open system)
- การออกแบบระบบการก่อสร้างสำเร็จรูปต้องคำนึงถึงเกณฑ์ในการติดตั้งหรือยกน้ำหนัก
- การออกแบบระบบการก่อสร้างสำเร็จรูปต้องมีระยะเผื่อสำหรับความคลาดเคลื่อนของตำแหน่งที่เป็นจุดรอยต่อของโครงสร้างอาคาร
- มีความยืดหยุ่นในการออกแบบที่น้อย เนื่องจากต้องใช้แบบหล่อไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระเพราะจะทำให้สิ้นเปลืองแบบหล่อ
- หลีกเลี่ยงชิ้นส่วนที่มีแขน ขา ยื่นออกมาจะทำให้การขนส่งสินค้า และขนย้ายยุ่งยาก
- มีรอยต่อที่สามารถทำให้ง่ายต่อการทำงานในสนาม เพื่อความรวดเร็วและลดความผิดพลาด
ด้านการก่อสร้าง
- อาจเกิดความคลาดเลื่อนของระยะเวลาก่อสร้าง เนื่องจากปัญหาด้านแรงงาน การผลิต และการขนส่ง ซึ่งทำให้ก่อสร้างหยุดชะงัก และเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
- ต้องมีการควบคุมในการก่อสร้างระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป ให้ได้มาตรฐานมากกว่าการก่อสร้างระบบทั่วไป
- ช่างเชื่อมควรเป็นช่างที่มีความชำนาญและประสบการณ์ในการทำงาน และควรผ่านการทดสอบด้านการเชื่อมที่มีมาตรฐาน เนื่องจากรอยต่อระหว่างแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปเป็นสิ่งสำคัญของการก่อสร้างระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป
- การขนส่งและการติดตั้งที่ยุ่งยากมากขึ้น เมื่อชิ้นส่วนสำเร็จรูปมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก
- ต้องมีการวางแผนงานสำหรับการขนส่งชิ้นส่วนสำเร็จรูปจากโรงงาน และติดตั้งทันโดยไม่ต้องนำแผนไปเก็บไว้ในโกดัง
- ผู้รับเหมาและลูกจ้างจะคุ้นเคยกับการก่อสร้างระบบปกติมากกว่า ซึ่งทำให้ขาดความเข้าใจในขั้นตอนการทำงาน และชำนาญในการติดตั้ง
กรณีศึกษาข้อดี-ข้อเสียของการก่อสร้างระบบสำเร็จรูปของโครงการบ้านเอื้ออาทร
ที่ผ่านมาทางการเคหะแห่งชาติได้มีริเริ่มสร้างบ้านเอื้ออาทร โดยใช้ระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป มาเป็นวิธีในการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรหลายโครงการ ซึ่งแต่ละโครงการได้มีการก่อสร้างด้วยระบบสำเร็จรูปที่แตกต่างกัน ทางการเคหะแห่งชาติจึงได้ทำการศึกษาติดตามและประเมินผล ข้อดี-และข้อเสีย ของการก่อสร้างระบบอุสาหกรรมอาคารพักอาศัย กรณีศึกษาโครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งได้ติดตามการดำเนินงานก่อสร้างในแต่ละโครงการ สามารถสรุปได้ ดังนี้
โครงการก่อสร้างอาคารชุด 5 ชั้น ระบบผนังรับน้ำหนัก ของบริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด (ITD)
ข้อดี
- การก่อสร้างระบบผนังรับน้ำหนัง ทำให้มีโครงสร้าง Shear Wall ซึ่งสามารถรับแรงแผ่นดินไหวได้ดี
- คุณภาพของชิ้นส่วนที่ผลิตในโรงงานมีคุณภาพดี
- การผลิตและติดตั้งสามารถเร่งผลิตให้ได้ตามแผน เนื่องจากระบบผลิตและติดตั้งสามารถแยกการดำเนินงานโดยไม่ขึ้นตรงต่อกัน
- ลดงานก่อฉาบ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้แรงงานฝีมือเป็นจำนวนมากได้
- งานคอนกรีตหล่อในที่ ซึ่งเป็นงานเปียกมีน้อยทำให้สถานที่ก่อสร้าง สะอาดกว่า รวมทั้งลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากฝุ่นลง
- ระยะเวลาสามารถควบคุมได้
- เหมาะสมกับงานก่อสร้างจำนวนมาก ๆ
ข้อเสีย
- ระบบรอยต่อของแผ่นจำเป็นต้องใช้ Non Shrink Grout ซึ่งมีราคาแพง รอยต่อบางจุดตรวจสอบคุณภาพได้ยาก
- ในการ Grout ปูนพบ Shrinkage ที่ได้แผ่นเป็นจำนวนมาก เนื่องจากแผนวางตั้งอยู่ หัวน๊อต ปูน Grout ไม่ได้ถูก Compress ตลอดเวลา ในการเกิดรอยร้าวนั้นทำให้อากาศเข้าไป ซึ่งจะทำให้ลดอายุการใช้งานของโครงสร้างลง
- โครงสร้างของคานคอดินส่วนมากเป็น Hinged Joint ส่วนโครงสร้าง Bearing Wall จะต่อเนื่องทำให้บางครั้งพบรอยร้าวในแผนโครงสร้าง เนื่องจากความแตกต่างของ Degree of Rotation ระหว่างคานและผนัง
- การทรุดตัวของคานคอดินเป็นอิสระ ดังนั้นในการคำนวณออกแบบให้คำนึงถึง Differential Settlement ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
- ระบบโครงสร้างโดยรวมตรงบริเวณบันไดหนีไฟ ควรตรวจสอบคุณภาพของรอยต่อบันไดให้ดีเพื่อป้องกันการ Collapse เนื่องจากแผ่นดินไหว
- ระบบโครงสร้างบางส่วนต้องใส่ Transfer Beam เนื่องจากตำแหน่งของผนังรับน้ำหนักชั้นล่างไม่ตรงกับชั้นบน ซึ่งทำให้ลดการต้านแผ่นดินไหว ดังนั้นการที่จะทำไปสร้างในโซนแผ่นดินไหวจะต้องทำการวิเคราะห์ให้ดี
- การลงทุนในการผลิตชิ้นส่วนครั้งแรกค่อนข้างสูง
- การตรวจสอบคุณภาพของแผ่นในโรงงานต้องระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากพบปัญหาเรื่องรอยต่อไม่ตรงกัน
- การบริหารจัดการถึงแม้จะดูง่ายกว่า แต่จำเป็นต้องใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ ซึ่งบางครั้งต้องสั่งเข้ามาจากต่างประเทศ
- ในการขยายอาคารหรือต่อเติมจะทำได้ยาก ซึ่งต้องมีการวางแผนและออกแบบอาคารไว้ เพื่อการขยายและต่อเติมในอนาคต
โครงการก่อสร้างอาคารชุด 5 ชั้น ระบบเสา คาน ของบริษัท ธนสิทธิ์ คอนกรีต จำกัด
ข้อดี
- คุณภาพของชิ้นส่วนที่ผลิตในโรงงานสามารถควบคุมงานคอนกรีตได้ดี
- ลดงานเทคอนกรีตโครงสร้าง (ลดแรงงานลงบางส่วน)
- การผลิตและติดตั้งสามารถดำเนินได้ตามแผน
- ผนัง ค.ส.ล. สำเร็จรูปภายในลดงานก่อฉาบ
- ในการก่อสร้างในบางพื้นที่ที่ไม่ต้องการกำลังการผลิตมาก อีกทั้งมีโรงงานผลิตเสาเข็มอยู่ในพื้นที่ ซึ่งสามารถนำมาดัดแปลงใช้ผลิตชิ้นส่วนโครงสร้างได้
- สามารถขยายและต่อเดิมอาคารได้ในอนาคต
ข้อเสีย
- จากผลการทดลองในห้องปฏิบัติการแล้ว พบว่ารอยต่อชิ้นส่วนโครงสร้างเสียหายก่อนโครงสร้าง ซึ่งถ้ามีรอยต่อที่ดีแล้วการเกิดความเสียหายควรพร้อมกับโครงสร้าง
- ในการนำ Prestressed คอนกรีตเข้ามาใช้ ควรพิจารณา Creep และ Shrinkage ในชิ้นส่วนซึ่งเป็นผลกับรอยต่อโครงสร้าง
- รอยต่อชิ้นส่วนโครงสร้างเมื่อเกิด Creep และ Shrinkage ในคานแล้วเป็นผลให้อากาศสามารถเข้าไปสัมผัสกับเหล็กโครงสร้าง ซึ่งเป็นผลต่ออายุการใช้งาน
- รอยต่อโครงสร้างในคานนอกจากมีเหล็กเชื่อมต่อแล้ว ควรมี Shear Key เพื่อเป็น Safety เพราะคานเกิด Creep และ Shrinkage เนื่องจากลด Prestressed
- ในการจัดระบบเสาคานแล้ว ขั้นตอนการติดตั้งจะต้องนำมาพิจารณาให้ดี เนื่องจากโครงสร้างส่วนบันไดหนีไฟ ไม่สามารถติดตั้งไปพร้อมกันได้ ทำให้ต้องใช้เครื่องจักร Stand by อันเป็นผลให้ราคาค่าก่อสร้างสูงขึ้น
- ในการที่ขบวนการติดตั้ง การผลิต และงานสถาปัตย์ใช้เวลาก่อสร้างต่างกัน การบริหารการจัดการพื้นที่จะกองชิ้นส่วนสำเร็จรูปต้องดี มิฉะนั้นจะเกิดการ Loss ของชิ้นส่วนเป็นจำนวนมาก
- ผนังโดยรอบใช้ก่ออิฐฉาบปูน ซึ่งเป็นสาเหตุให้งานล่าช้าลง แต่สามารถลงการรั่วซึมของอาคารโดยรอบ อย่างไรก็ดี รอยต่อพื้นกับคาน ยังคงต้องป้องกันให้ดี มิฉะนั้นจะเกิดการรั่วซึม
- การทำ Shop Drawing รอยต่อจำเป็นสำหรับงานติดตั้งภาคสนาม พบว่าในรอยต่อมีการดุ้งเหล็กมาก
โครงการก่อสร้างอาคารชุด 5 ชั้น ระบบหล่อในที่ผนังรับน้ำหนัก ของบริษัท ไมวาน จำกัด
ข้อดี
- ระบบ Wall Bearing มีโครงสร้าง Shear Wall ซึ่งสามารถรับแรงแผ่นดินไหวได้ดี
- คุณภาพของงานเทคอนกรีตใน Site งานยังคงต้องควบคุมให้ดี เพราะต้องเทคอนกรีตในผนังที่แคบมาก ๆ
- ในการก่อสร้างเป็นแบบ Conventional ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยในประเทศไทย จึงไม่มีปัญหาเรื่องรอยต่อโครงสร้างและการรั่วซึม
- ในการก่อสร้างในพื้นที่ที่ไม่ขาดแคลนแรงงาน สามารถเร่งการก่อสร้างได้ตามแผนงาน
- ลดงานก่อฉาบ ซึ่งต้องการแรงงานมีฝีมือเป็นจำนวนมาก
- ลดการใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ โดยมาใช้แรงงานคนแทน
- ไม่ต้องลงทุนทำโรงงานผลิต
ข้อเสีย
- คุณภาพการเทคอนกรีตใน Site งานไม่ดรพอทำให้ต้องมีการปรับแต่งก่อนการทาสี
- จะเกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ถ้าทำไปการก่อสร้างในพื้นที่ที่ขาดแคลนแรงงาน เพราะใช้แรงงานคนแทนเครื่องจักร
- ใน Site งานมีงานเปียกมาก จะเกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในเรื่องฝุ่นมากกว่า
- ในการใช้แรงงานจำนวนมาก จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่ดี และมีการตรวจสอบคุณภาพของงานมากขึ้น เพื่อให้คุณภาพของงานที่เกิดจากแรงงานมีความสม่ำเสมอ
- ระบบการก่อสร้างแบบกำแพงรับน้ำหนักยังคงเป็นปัญหาในการขยายหรือต่อเติมในอนาคต
- Mould ที่นำมาใช้ในงานก่อสร้างมีราคาแพง ดังนั้นปริมาณงานจึงจำเป็นต้องมีมากพอ
โครงการก่อสร้างอาคารบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ระบบเสา-คาน สำเร็จรูป ของห้างหุ้นส่วนจำกัดเลิศพัฒนาศรีสะเกษ
ข้อดี
- คุณภาพของชิ้นส่วนคอนกรีตในโรงงานสามารถควบคุมได้ดี
- ลดงานเทคอนกรีตโครงสร้างในโครงสร้าง
- การผลิตและติดตั้งสามารถดำเนินการได้ตามแผนงาน
- สามารถดัดแปลงโรงงานหล่อเสาเข็มหรือพื้นสำเร็จรูปในพื้นที่มาใช้ผลิตชิ้นส่วนได้ ค่าใช้จ่ายในการลงทุนทำโรงงานจึงมีไม่มาก
- สามารถขยายและต่อเติมได้ในอนาคต
ข้อเสีย
- เป็นการก่อสร้างที่ไม่ค่อยคุ้นเคยเหมือนระบบปกติ
- การออกแบบรอยต่อทำให้พฤติกรรมโครงสร้างเปลี่ยนไปจากเดิม อายุการใช้งานของชิ้นส่วนคงเดิม แต่บริเวณรอยต่ออายุการใช้งานลดลง เช่น รอยต่อของเสา
- รอยต่อบางจุดทำงานยาก ทำให้มีรอยเชื่อมที่มีคุณภาพไม่ดี
- รอยต่อคานจุดควรมี Shear Key เนื่องจากปูนที่ Grout ปิดรอยร้าวทำให้อากาศซึมผ่านเข้าสัมผัสเหล็กรับแรงเฉือน
- ค่าความคลาดเคลื่อนในการติดตั้งมีมาก การควบคุมคุณภาพและการปรับปรุงแก้ไขควรให้วิศวกรผู้ออกแบบเป็นผู้ดำเนินการ
- ผนังภายในอาคารใช้ระบบก่ออิฐฉาบปูน ซึ่งยังคงมีความต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก
โครงการก่อสร้างอาคารบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ระบบผนังรับน้ำหนัก ของบริษัท เอกประจิม จำกัด
ข้อดี
- คุณภาพของงานในโรงงานขึ้นอยู่กับ Mould และการจัดวางผังโรงงาน ซึ่งคุณภาพงานคอนกรีตสามารถควบคุมได้
- ระบบ Wall Bearing สามารถรับแรงแผ่นดินไหวได้ดี แต่การจัดวางผนังรับน้ำหนักจะต้องจัดให้ดีไม่ควรสลับซับซ้อน
- การผลิตสามารถเร่งได้ตามแผน งานติดตั้งยังคงต้องปรับปรุง การออกแบบรอยต่อบางจุดทำงานยาก
- ลดงานก่อฉาบซึ่งเป็นงานที่ต้องให้แรงงานฝีมือเป็นจำนวนมาก
- งานคอนกรีตหล่อในที่ ซึ่งเป็นงานเปียกมีน้อยทำให้ Site งานสะอาดกว่า ซึ่งลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเรื่องฝุ่นลงได้
- ลดค่าขนส่งชิ้นส่วนสำเร็จรูปได้ เนื่องจากโรงงานอยู่ใน Site
- การลงทุนทำโรงงานน้อยกว่าโรงงานถาวรโดยเฉพาะค่าที่ดิน
ข้อเสีย
- ระบบรอยต่อของแผ่นที่ออกแบบไว้ติดตั้งยากทำให้ไม่สามารถเร่งงานติดตั้งให้ทันการผลิต จึงทำให้มีแผ่นวางรอการติดตั้งใน Site งานเป็นจำนวนมาก
- รอยต่อแบบ Dowell Bar จะทำการตรวจสอบในเรื่อง Epoxy Grout ได้ยาก
- ในการก่อสร้างจำเป็นต้องใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่
- รอยรั่วตรงบริเวณรอยต่อจะต้องตรวจสอบคุณภาพให้ดี
- กำแพงที่รับน้ำหนักควรมี Shear Key เพื่อป้องกัน Long term creep and shrinkage โดยเฉพาะกำแพงรับน้ำหนักที่ไม่ตรงกัน
- การขยายและต่อเติมอาคารจะทำได้ยาก ต้องมีวางแผนไว้ในขณะออกแบบ
ตาราง การเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียระหว่างการก่อสร้างระบบดั้งเดิม และการก่อสร้างระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป, ศุภณัฐ วัฒนสินศักดิ์ (2556)
การเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียระหว่างการก่อสร้างระบบดั้งเดิม และการก่อสร้างระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูปดังแสดงในตาราง การก่อสร้างทั้ง 2 แบบนั้น อาจมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปตามคุณลักษณะของวัสดุ และการผลิต พบว่าการก่อสร้างระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูปนั้นมีผลกำไรที่มากกว่า อีกทั้งยังใช้คนงานน้อยกว่าในการก่อสร้าง แต่ก็ต้องใช้เครื่องจักรมากขึ้น เข้ามาช่วยในงาน จึงต้องอาศัยการวางแผนการทำงานเป็นอย่างดีก็จะทำให้โครงการสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก และด้วยระยะเวลาการก่อสร้างที่สั้นลงยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายทางอ้อมได้ เช่น ค่าเงินเดือนพนักงาน สำหรับปัจจัยทางด้านคุณสมบัติของวัสดุก็จะมีทั้งข้อดีและข้อเสียในแต่ละแบบ สรุปจากผลการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างการก่อสร้างแบบดั้งเดิมซึ่งได้ผลคะแนน 58.1 % และการก่อสร้างระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูป ซึ่งได้คะแนนทั้งหมด 97.42 % จึงสรุปได้ว่าการก่อสร้างระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูปนั้นมีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมต่อผู้ประกอบการธุรกิจบ้านจัดสรร